ยินดีต้อนรับเข้าสู่ศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้น่ะค่ะ เรามีความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับมาแบ่งปันกันชมและเรียนรู้/strong>>

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทกลอน.......วันพ่อ

ด้วยทศพิธ...ราชธรรม...องค์ภูมี
ปฐพี...สยาม...จึงอยู่ยั่ง
ศูนย์รวมใจ..ไทยประชา..ที่จีรัง
ภูมิพลัง...แผ่นดิน...ของมวลชน

5 ธันวา...มหาราช...วงศ์จักรี
บารมี..เลิศล้ำ...ด้วยมรรคผล
ครองแผ่นดิน...โดยธรรม...นฤดล
ไทยทุกคน...ร่วมน้อม...สดุดี
จะดีเลวอย่างไรไม่เคยบ่น

สู้อดทนเลี้ยงดูให้เติบใหญ่

ยามทดท้อพ่อให้กำลังใจ

ยามสดใสพ่อนั้นใจชื่นบาน

พ่อไม่เคยร้องขอเลยสักนิด

มีแต่จิตยินดีที่โปรยหว่าน

เป็นคนดีมั่นคงในการงาน

เหมิอนงานสานของพ่อนั้นจบลง
ง าน ห นั ก .. พ่ อ ไ ม่ เ ค ย ท้ อ
สองมือของพ่อ จึงหยาบกร้าน
สู้อดทน ลำบากมาเนิ่นนาน
พ่อไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยกับงาน ให้ใครทุกข์ใจ

. . . . . . . . .

ต้ น ไ ม้ ชี วิ ต ที่ พ่ อ ป ลู ก
ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูก ได้เติบใหญ่
เพื่อให้เจ้า ไม่น้อยหน้ากว่าใคร
อย่างที่พ่อตั้งใจ ให้ลูกเป็นคนดี

. . . . . . . . .

เ ด็ ก น้ อ ย ค น นี้ .. อ า จ ยั ง ไ ม่ ดี พอ
แต่สัญญาว่าจะทำทุกสิ่งที่พ่อเคยขอ ต่อจากนี้
จะตอบแทนพระคุณ และความรักที่พ่อมี
แ ล ะ สั ญ ญ า ว่ า จ ะ เ ป็ น ค น ดี .. อย่างที่พ่อตั้งใจ

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าที่ นีโอ ไลฟ์

นีโอ ไลฟ์ฯ เป็นธุรกิจขายตรงเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ให้คนไทยได้มีอาชีพธุรกิจเป็นของตนเองแบบง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยากสลับซับซ้อนทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจสร้างเนื้อ สร้างตัวได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการลงทุนและขาดทุน
นีโอ ไลฟ์ฯ ได้จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นเป็น บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ตามหมายเลขทะเบียนการค้าเลขที่(2)787/2544 โดยมีนโยบายในการจัดตั้งบริษัทฯ ดังต่อไปนี้
1. ต้องการส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้มีสุขภาพที่ดีและได้ใช้สินค้าที่ดีมีประโยชน์
2. ต้องการสร้างระบบธุรกิจให้เป็นงานอาชีพ เสริมสร้างรายได้สู่พี่น้องประชาชน
3. ต้องการฝึกอบรม สร้างบุคลากร คุณภาพ ใแก่สังคมอันเป็นการช่วยสนับสนุนการพัฒนาประเทศชาติ
นีโอ ไลฟ์ฯ ได้ผ่านการจดทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ตามทะเบียนเลขที่นร.0307/2433 และได้ใบอนุญาติให้เป็นสถานที่จำหน่ายยาแผนโบราณ ตามทะเบียนเลขที่ 5/2545 นีโอ ไลฟ์ฯ มีสำนักงานทำการตั้งอยู่ที่ เลขที่169/98 อาคารเสริมทรัพย์ ชั้น5 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10320 โทรศัพท์ 0-2692-8168-9 โทรสาร 0-2692-7161
นีโอ ไลฟ์ฯ ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพใช้แล้วเห็นผล คุ้มค่า คุ้มราคา จากผลการศึกษาวิจัยที่เป็นที่ยอมรับของผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก วัตถุดิบ ที่มีคุณภาพสูงและกระบวนการผลิตที่ต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสุดมาตรฐานเดียวกันกับการผลิตยาแผนปัจจุบัน จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกรายการของ นีโอ ไลฟ์ฯ สามารถขายตัวเองได้ และเป็นที่ยอมรับเหนือกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆทั่วไป
เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้มีธุรกิจสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นของตนเองอย่างแท้จริง นีโอ ไลฟ์ฯ จึงได้ใช้แผนการตลาดที่ง่ายๆ แต่ทำแล้วสามารถประสบความสำเร็จได้จริงๆ นั่นคือ ระบบแผนการตลาดแบบไบนารี่ บาลานซ์เลค ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นของ ท่านนพรุจ เวชกุล และท่านพรรณชนก สุขชุม ท่านผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ทำให้วันนี้ นีโอ ไลฟ์ฯ เป็นธุรกิจที่มีความพร้อมสมบูรณ์ในทุกๆด้าน ที่จะเป็นที่พึ่งพิงที่มั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนที่กำลังเสาะแสวงหาโอกาสที่ดีที่สุดให้กับชีวิต


" ขอต้อนรับท่านสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

สนใจติดต่อ 084-4143566
http://www.neolifeinter.com

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

การทำดอกไม้จากกระดาษสา

ขั้นตอนการทำดอกไม้จากกระดาษสา
การทำดอกไม้จากกระดาษสาในชุดวิชานี้ได้เลือกทำดอกไม้ที่เห็นว่าจะนำไปใช้ในการประดับและตกแต่งผลิตภัณฑ์กระดาษสา หรือจะนำไปใช้ตกแต่งของใช้บางอย่างให้สวยงามตามความเหมาะสมก็ได้ ทำพวงดอกไม้แขวนสำหรับประดับฝาผนัง และนำไปปักแจกัน เป็นต้น ดอกไม้จากกระดาษสาที่นิยมกันหลายชนิด เช่น ดอกมะลิซ้อน ดอกกุหลาบ และดอกกล้วยไม้แคทลียา วิธีการทำดอกไม้จากกระดาษสาแต่ละชนิดมีดังนี้


--------------------------------------------------------------------------------

การทำดอกมะลิซ้อน

ดอกมะลินอกจากจะมีความสวยงามในตัวของมันเองแล้ว ยังใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความหมายได้หลายอย่าง อาทิ การแสดงความเคารพบูชา เช่น นำไปบูชาพระ และกราบไหว้ผู้ใหญ่ เป็นตัวแทนวันแม่ นอกจากนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น การทำดอกมะลิจากกระดาษสา มีขั้นตอนการทำดังนี้
วัสดุอุปกรณ์ มีดังนี้

1. กระดาษสาสีขาวชนิดบาง
2. สีเหลือง น้ำเงิน เขียว
3. ลวด เบอร์ 24
4. สีย้อมสีเหลือง น้ำเงิน เขียว
5. กาวลาเท็กซ์
6. เหล็กแหลม


--------------------------------------------------------------------------------
2 วิธีตัดกลีบดอก
ใช้กระดาษลอกลาย คัดลอกกลีบดอกและใบจากตัวอย่างลงบนกระดาษแข็งสีเทา-ขาว แล้วตัดเป็นต้นแบบละอัน แล้วจึงนำไปทาบกับกระดาษสาที่เตรียมไว้สำหรับทำกลีบดอกและใบ ตามรายการดังนี้
จำนวนกลีบดอกและใบที่ใช้



ภาพขยาย
กลีบดอก ก ข ค ง
ดอกบานใหญ่ 2 2 3 2
ดอกบานเล็ก 2 2 3 1
ดอกแย้ม 2 2 - -
ดอกแย้ม 2 3 - -
ดอกตูมใหญ่ 2 3 - -
ดอกตูมเล็ก 2 - - -
กลีบเลี้ยง 1 - - -


และใบ ต้องการ 4 ขนาด ๆ ละ 2 ใบ


--------------------------------------------------------------------------------

3. วิธีผสมสี
ผสมสี โดยแยกออกเป็น 2 ถ้วย ๆ หนึ่งเป็นสีโศกอ่อน อีกถ้วยหนึ่งเป็นสีโศกอ่อนมากกว่าถ้วยแรกเกือบจะเป็นสีขาว โดยเติมน้ำลงไป
สีน้ำเงิน (น้อย) + สีเหลือง (มาก) = สีโศก
สีเขียว + สีเหลือง = สีเขียว


--------------------------------------------------------------------------------

4. วิธีระบายสี
ก่อนที่จะลงมือย้อมสีกลีบ ให้จับคู่กลีบดอก ก ข ค ง ให้เป็นกลุ่มตามลำดับ โดยให้วางซ้อนสับหว่างกัน ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการแยกกลีบดอกนำไปผึ่งลมให้แห้ง ต่อจากนั้นให้รวบรวมกลีบดอกกลุ่มละประมาณ 6-7 คู่ จุ่มลงไปในถ้วยสีโศกอ่อนมาก ๆ แช่ทิ้งไว้ให้อิ่มตัวสักครู่ แล้วจึงใช้นิ้วบีบให้น้ำออกบ้าง วางเรียงกันบนกระจกจับกันเป็นคู่ ๆ ตามที่จัดเอาไว้ไม่ต้องแยกคู่ วางห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร ทิ้งไว้พอหมาด แล้วนำพู่กันเบอร์ 6 จุ่มสีโศก (เข้ม) ระบายตรงกลางดอกให้เป็นวงกลม สำหรับกลีบเลี้ยงก็ให้ระบายด้วยสีโศกเช่นเดียวกัน ส่วนในให้ระบายด้วยสีเขียวที่เตรียมไว้ ต่อจากนั้นให้นำกลีบดอกที่ย้อมเสร็จแล้วไปผึ่งลมทิ้งไว้ให้แห้ง ห้ามนำไปตากแดดเพราะจะทำให้สีซีดและด่าง


--------------------------------------------------------------------------------

5. วิธีทำใบ
นำใบที่ตากแห้งแล้วมาติดลวดสีเขียวที่ใช้สำหรับดามใบ แล้วใช้ที่รีดรูปใบมีดกรีดตามเส้นลวดที่ดามไว้กรีดตามร่องใบและกรีดเป็นแฉกตามเส้นใบ เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ การทำวิธีนี้ใช้ในกรณีที่ไม่มีพิมพ์อัดกลีบกุหลาบ อัดใบ ซึ่งสามารถทำได้ผลใกล้เคียงกัน หรือจะใช้วิธีบิดเป็นเกลียวเช่นเดียวกับการบิดกลีบดอกดังจะได้กล่าวต่อไปก็ได้


--------------------------------------------------------------------------------

6. วิธีบิดกลีบดอก
นำกลีบดอกที่ผึ่งลมแห้งแล้วมาซ้อนกัน 3 กลีบ เจาะรูให้ได้กึ่งกลางกลีบด้วยเหล็กแหลมแล้วจึงพับบิดกลีบดอกให้เป็นเกลียว โดยเริ่มต้นที่ปลายกลีบให้ใช้ปลายเล็บหัวแม่มือจิกลงบนปลายกลีบ แล้วจับกลีบด้านล่างบิดเป็นเกลียวให้แน่นโดยเลื่อนนิ้วมือลงไปทีละน้อย ทำเช่นนี้จนครบทุกกลีบและทุกขนาด จากนั้นให้คลี่กลีบดอกออกเบา ๆ จัดกลีบให้เป็นอุ้งตรงกลางกลีบและปลายบานออกเล็กน้อย แล้วนำไปเข้าดอกใบต่อไป






--------------------------------------------------------------------------------

7. วิธีเข้ากลีบดอก
ตัดลวดที่เตรียมไว้สำหรับทากาวก้านดอกยาว 3-4 เซนติเมตร งอปลายแล้วจุ่มลงไปในกาวพอติด แล้วนำสำลีมาปั้นเป็นก้อนกลมรอบเส้นลวดใช้นิ้วมือแตะกาวเล็กน้อยจับสำลีหมุนเป็นก้อนกลมให้เรียบและแน่น แล้วทากาวโดยรอบนำไปเข้าดอกตูม ดังภาพ





วิธีเข้าดอก
ใช้สำลีปั้นให้กลมกับลวด แล้วเจาะรูกลางกลีบดอกทุกกลีบ แล้วเข้าตามลำดับขนาดกลีบ ดังรูปดอกตูม
สำหรับการเข้าดอกแย้มและดอกบานมีวิธีการเข้าเช่นเดียวกัน คือ ทากาวบนกลีบตูมโดยรอบแล้วนำกลีบที่เตรียมไว้มาติดเข้าให้สับหว่างกันทีละชั้นจนครบทุกกลีบทุกขนาด แล้วเสริมโคนดอกด้วยสำลีแล้วปิดด้วยกลีบเลี้ยง





--------------------------------------------------------------------------------

8. วิธีเข้าช่อ
นำดอกบาน ดอกแย้งและดอกตูมที่ทำเสร็จแล้วมาเข้าช่อกับใบ ให้ทำเหมือนดอกไม้ธรรมชาติ ตกแต่งให้สวยงามเหมาะสำหรับปักแจกันหรือจะทำเป็นช่อใช้เป็นดอกไม้ติดเสื้อก็ได้

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรียนรู้การทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์

วันนี้เรามาดูวิธีทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์กันดีกว่า การรับทำกรอบรูปวิทยาศาสตร์เป็นอาชีพที่น่าสนใจอาชีพหนึ่งเนื่องจากลงทุนค่อนข้างน้อยเรียนรู้วิธีการทำง่าย ตลาดกว้าง สามารถทำได้ทั้งแบบเต็มตัวเป็นอาชีพหลักหรือรับจ๊อบเป็นครั้งคราว?? กำไรต่อหน่วยค่อนข้างสูง?? เรามาดูกันค่ะว่าทำกันอย่างไร

วัตถุดิบ

น้ำยาเรซิ่นเคลือบรูปหรือที่เรียกว่าโพลีเอสเตอร์เรซิ่น? เป็นเรซิ่นสำหรับงานเคลือบรูปวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ เป็นพลาสติกเหนียว ข้น มีกลิ่นฉุน เมื่อใส่ตัวทำแข็งเข้าไปจะจะทำปฏิกริยาเป็นพลาสติกแข็ง ใช้เบอร์ KC - 288
ตัวทำให้แข็งหรือเรียกว่าฮาร์ดเดนเนอร์หรือฮาร์ด? จะผสมลงในเรซิ่นเพียง? 1 %? เท่านั้น มีหน้าที่ทำปฏิกริยากับเรซิ่นทำให้เรซิ่นแข็งตัว

อุปกรณ์ที่ต้องใช้

แผ่นฟิลม์ไมล่า เป็นแผ่นฟิลม์บาง ใช้กดนาบบนเรซิ่นที่เราเทลงบนภาพเพื่อให้ผิวหน้าเรียบเท่าๆกัน
กรอบไม้? ทำจากไม้ 1 นิ้ว คูณ 1 นิ้ว ใช้สำหรับขึงแผ่นฟิลม์ไมล่าให้ตึงเพื่อใช้กดนาบลงบนภาพตามข้อ 1 ใช้ตามความเหมาะสมของขนาดภาพ ในที่นี้เราใช้ขนาด 40 คูณ 50 เซนติเมตร

ลูกกลิ้งยาง ใช้ขนาด 8 นิ้ว ใช้สำหรับกลิ้งรีดน้ำยาเรซิ่นให้กระจายทั่วทั้งภาพ

ไม้อัดทำกรอบรูป เป็นไม้หนา 10 มม. ขนาดแล้วแต่ขนาดของภาพที่จะทำ? แต่ต้องเผื่อขอบไว้ 1-1/2 นิ้ว กะประมาณให้ดูสวยตามขนาดของภาพ
กระดาษลวดลายต่างๆ ใช้สำหรับตกแต่งเพื่อความสวยงาม
เส้นทองหรือเส้นเงิน เป็นเส้นสติ๊กเกอร์สีสำหรับเดินปิดเระหว่างรอยต่อของภาพเพื่อความสวยงาม
น้ำยากันซึม ใช้กรณีที่นำภาพที่เป็นกระดาษที่น้ำยาเรซิ่นอาจซึมเข้าเนื้อกระดาษได้เช่น กระดาษจากหนังสือ
ถ้วยพลาสติกสำหรับใส่เนซิ่น
ไม้กวนเรซิ่น ใช้ไม้ไอศครีมหรือไม้อะไรก็ได้
หลอดหยด สำหรับหยดตัวทำแข็ง
คัตเตอร์
ตาชั่ง
กระดาษทรายชนิดละเอียดเบอร์ 300
อื่นๆ เช่น เทปกาว ขาตั้งรูป มีดคัตเตอร์ สีน้ำมัน ทินเนอร์ แปลงทาสี
วิธีทำ

นำไม้อัดมาตัดให้มีขนาดใหญ่กว่าภาพโดยให้เหลือขอบกว้างกว่าด้านละ 1 - 1.5 นิ้ว
นำภาพวางทาบลงบนไม้อัด จัดให้อยู่กึ่งกลางให้ดูสวยงามและขีดเส้นหรือทำเครื่องหมายไว้ก่อน จากนั้นใช้กาวลาเท็กซ์ทาให้ทั่วหลังภาพและนำภาพปิดลงบนไม้อัดตามตำแหน่งที่ได้ทำเครื่องหมายไว้ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง
นำกระดาษลายมาทำการตกแต่งโดยตัดให้เท่ากับกรอบที่เว้นไว้ จัดลายให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ดูลงตัว
นำเส้นสติ๊กเกอร์สีทองหรือเงินมาติดระหว่างรอยต่อของภาพกับกระดาษลายตลอดทั้งสี่ด้าน ปล่อยทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิทประมาณ 2 ชั่วโมง
เมื่อกาวแห้งสนิทแล้ว? หากระดาษหนังสือพิมพ์เก่ามาปูบนโต๊ะที่ให้ทำกรอบรูปเพื่อป้องกันน้ำยาล้นออกมาเลอะเทอะ นำกล่องหรืออะไรก็ได้มาวางทับบนกระดาษเพื่อรองและยกกรอบรูปให้สูงขึ้นและนำกรอบรูปที่แห้งแล้ววางลงบนกล่องอีกที
เตรียมเรซิ่นเทใส่ในถ้วยพลาสติก หยดน้ำยาทำแข็งลงไป? 1 % ของปริมาณเรซิน ใช้ไม้กวนส่วผสมให้เข้ากัน
เทเรซิ่นลงบนกลางภาพ
นำกรอบแผ่นฟิลม์ไมล่าวางทับลงบนเรซิ่น ใช้ลูกกลิ้งยางกลิ้งไล่เรซินให้กระจายทั่วภาพและขอบภาพ ขั้นตอนนี้จะมีเรซิ่นบางส่วนล้นลงบนพื้นโต๊ะ ตรวจดูหากมีฟองอากาศอยู่ก็ใช้ลูกกลิ้งไล่ฟองอากาศออกให้หมด? ปล่อยทิ้งไว้ให้แข็งตัวประมาณ 2 ชั่วโมง? ระหว่างนี้ ห้ามขยับเขยื้อนเด็ดขาด วิธีตรวจเรซิ่นว่าแข็งหรือไม่โดยหยิกเศษเรซิ่นที่ล้นอยู่บนโต๊ะถ้าแข็งกรอบก็ใช้ได้
เมื่อเรซิ่นแข็งตัวแล้วค่อยๆดึงแผ่นไมล่าออก ใช้มีดคัตเตอร์ตัดแต่งขอบให้เรียบ หากดูแล้วเรซิ่นบางเกินไปหรือยังมีฟองอากาศให้ใช้กระดาษทรายเบอร์ 300 ลูบบนเรซิ่นพอเป็นรอยฝ้าขาวให้ทั่ว ( อย่าขัดเพราะจะทำให้เกิดรอยมากเกินไป ) เสร็จแล้วำความสะอาดฝุ่นผงออกให้หมดแล้วทำการเคลือบซ้ำอีกครั้ง ( ทำข้อ 6-8 ซ้ำอีกครั้ง ) เมื่อเสร็จแล้วทำความสะอาดและติดขาตั้งก็เสร็จเรียบร้อย

อ่านอาจจะรู้สึกว่ามีขั้นตอนการทำอยู่พอสมควร แต่เวลาทำจริงจะทราบว่าทำจริงๆใช้เวลาไม่มากนัก? ช้าหน่อยก็เพราะต้องรอแห้งมากกว่า ก็ขอให้โชคดีกันทั่วหน้าค่ะ

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันภาษาไทยแห่งชาติ

๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานและทรงอภิปรายเรื่อง “ ปัญหาการใช้คำไทย ” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทรงแสดงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยห่วงใยในภาษาไทย จนเป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง[1] [2]

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า

เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้...สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่าๆที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก


รัฐบาลได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันสำคัญ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๒

บทกลอน..........วันแม่....

วัน คืน เดือน เคลื่อนไป..ไวหนักหนา..
กาลเวลาหมุนเปลี่ยน..เวียนมาถึง..
12 สิงหาผ่านมา..พาคำนึง..
ระลึกถึงวันเก่า..ครั้งเยาว์วัย...
วันที่แม่คอยหวง..คอยห่วงลูก..
วันที่แม่คอยปลูก..ผูกรักใคร่..
วันที่แม่คอยถนอม..กล่อมดวงใจ..
วันที่แม่คอยปกป้องภัย..เสมอมา..
มาวันนี้ลูกเติบใหญ่..ได้เป็นแม่..
เข้าใจแท้ถึงรักแม่..มอบให้หนา..
ไม่เคยลดไม่เคยหล่น..สักเวลา..
อยากกล่าวว่าลูกรักแม่..สุดหัวใจ..
ณ วันนี้ก็ใกล้ถึงวันแม่อีกครั้งแล้วนะค่ะ เราก็ขอให้ทุกคนระลึกถึงพระคุณของแม่มากๆ อย่าได้ลืมหันกลับไปให้ความสุขแก่ท่านคนที่สำคัญของคุณ

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันเข้าพรรษา

วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม[1] การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา

วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8) หรือเทศกาลเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ถือได้ว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไปได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย

ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง 3 เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันเข้าพรรษา ให้เป็น "วันงดดื่มสุราแห่งชาติ" ในปี พ.ศ. 2551[2] และในปี พ.ศ. 2552 ยังได้ประกาศให้วันเข้าพรรษาเป็น วันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วราชอาณาจักร ในปี พ.ศ. 2552[3] เพื่อรณรงค์ให้ชาวไทยตั้งสัจจะอธิษฐานงดการดื่มสุราในวันเข้าพรรษาและในช่วง 3 เดือนระหว่างฤดูเข้าพรรษา เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ดีให้แก่สังคมไทยอีกด้วย[4]

สำหรับในปี พ.ศ. 2552 นี้ วันเข้าพรรษาจะตรงกับ วันพุธที่ 8 กรกฎาคม ตามปฏิทินสุริยคติ

ความสำคัญของการเข้าพรรษา

ความสำคัญและประโยชน์ของการเข้าพรรษา

ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา ดังนั้นการกำหนดให้ภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึง วันออกพรรษา
เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ครู คือใคร



ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน; ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ

ความเป็นมาของวันครู



วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้

บทสวดเคารพครูอาจารย์


คาถา ปาเจราจริยา โหนฺติ คุณุตฺตรานุสาสกา (วสันตดิลกฉันท์)
(สวดนำ) ปาเจราจริยา โหนติ (รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา
ปญญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ

ข้าขอประณตน้อมสักการ บุรพคณาจารย์

ผู้ก่อประโยชน์ศึกษา

ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา

แก่ข้าในกาลปัจจุบัน

ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์

ด้วยใจนิยมบูชา

ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา

ปัญญาให้เกิดแตกฉาน

ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน

อยู่ในศีลธรรมอันดี

ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี

แก่ชาติและประเทศไทย เทอญฯ
ข้าขอประนมกระพุ่ม
อภิวาทนาการ
กราบคุณอดุลคุรุประทาน
หิตเทิดทวีสรร
สิ่งสมอุดมคติประพฤติ
นรยึดประครองธรรม์
ครูชี้วิถีทุษอนันต์
อนุสาสน์ประภาษสอน
ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน
นะตระการสถาพร
ท่านแจ้งแสดงนิติบวร
ดนุยลยุบลสาร
โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร
ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล
ไปเปื่อก็เพื่อดรุณชาญ
ลุฉลาดประสาทสรรพ์
บาปบุญก็สุนทรแถลง
ธุระแจงประจักษ์ครัน
เพื่อศิษย์สฤษฎ์คตจรัล
มนเทิดผดุงธรรม
ปวงข้าประดานิกรศิษ
(ษ) ยะคิดระลึกคำ
ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ
อนุสรณ์เผดียงคุณ
โปรดอวยพรสุพิธพรอเนก
อดิเรกเพราะแรงบุญ
ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน-
ทรศิษย์เสมอเทอญฯ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประวัติวันวาเลนไทน์



.. วันวาเลนไทน์ ..


วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยัง สืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการ ที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด

ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สองท่าน นักบุญ วาเลนไทน์ และนักบุญ มาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย

และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์

ทำไมจึงชื่อ "วันวาเลนไทน์"

ทำไมจึงชื่อ " วันวาเลนไทน์ " ..


วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกัน นับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษ

ทำไมจึงมีชื่อว่า “ วันวาเลนไทน์ ” และความหมายที่แท้จริงของวันนี้คืออะไร? และมาจากไหน?

นักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน เกลาดิอุส ที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือ ที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ประเพณีเลือกคู่ หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติ ดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณี วาเลนไทน์ นี้ก็มีต้นเหตุหรือ ที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัย โบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อเทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลาย

ครั้นต่อมา เมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 ) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาว โรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มี นักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อย

ความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์

ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”

ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้

1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต

ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต

ทำไมจึงชื่อ "วันวาเลนไทน์"

ทำไมจึงชื่อ " วันวาเลนไทน์ " ..


วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกัน นับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษ

ทำไมจึงมีชื่อว่า “ วันวาเลนไทน์ ” และความหมายที่แท้จริงของวันนี้คืออะไร? และมาจากไหน?

นักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน เกลาดิอุส ที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือ ที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ประเพณีเลือกคู่ หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติ ดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณี วาเลนไทน์ นี้ก็มีต้นเหตุหรือ ที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัย โบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อเทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลาย

ครั้นต่อมา เมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 ) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาว โรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มี นักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อย

ความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์

ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”

ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้

1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต

ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต

ดอกไม้"วันวาเลนไทน์"


.. ดอกไม้ " วันวาเลนไทน์ " ..


มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลาย รูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย


กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย
กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น
กุหลาบดำ หมายถึง ความรักนิรันดร์
กุหลาบแดง (red rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความ หมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน

กุหลาบขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้

กุหลาบชมพู (pink rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน การให้ดอกกุหลาบสีชมพูสามารถแสดงถึงความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้

กุหลาบเหลือง (yellow rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส กุหลาบสีเหลืองถูกใช้สำหรับแทนความรักแบบเพื่อน และความ สนุกสนานรื่นเริงจึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง

สำหรับดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรัก อย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง

ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ"

ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ "

สำหรับดอก forget-me-not มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน

มาถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้างดอกทานตะวัน (sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา



จะเห็นได้ว่าดอกไม้เป็นประดิษฐกรรมทางธรรมชาติที่มนุษย์เรานำมาใช้เป็นสื่อแทนความหมาย แห่งความรักได้หลายรูปแบบ การมอบดอกไม้ให้กับคนที่เรามีความรู้สึกพิเศษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ... Vlentine นี้คุณมีดอกไม้ในใจที่จะให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง

ชอคโกแลตกับวันวาเลนไทน์


.. ชอคโกแลตกับวันวาเลนไทน์ ..


ในวันวาเลนไทน์ที่ประเทศญี่ปุ่น ฝ่ายหญิงนิยมที่จะมอบชอคโกแลตให้กับฝ่ายชาย (ส่วนผู้ชายจะมอบของขวัญตอบแทนให้กับผู้หญิงในวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเรียกวันนั้นว่า White Day หรือ วันสีขาว) ความนิยมการมอบชอคโกแลตนั้นเกิดขึ้นมาจากการใช้เครื่องมือทางการตลาดของบริษัทผลิตชอคโกแลต ผู้หญิงญี่ปุ่นถูกกระตุ้นให้บอกรักอย่างชัดเจนกับผู้ชายโดยการมอบชอคโกแลตและของขวัญชนิดอื่นในวันที่ 14 กุมภาของทุกปี

ร้านขายของชำ ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อจะขายชอคโกแลตที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ชอคโกแลตที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศ มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายชอคโกแลตทั้งปีนั้น จะมาจากช่วงวันวาเลนไทน์ เหตุก็เพราะผู้หญิงแดนอาทิตย์อุทัยจะซื้อชอคโกแลตเพื่อแจกให้กับทั้งเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เพื่อนชาย พี่ชาย คุณพ่อ สามี แฟน และผู้ชายที่เธอรู้จักและมีความยินดีที่จะมอบให้

ชอคโกแลตที่มอบให้กับผู้ชายที่เธอไม่ได้หลงรัก ถูกเรียกว่า “giri-choco” (แปลว่า ชอคโกแลตที่ให้ตามหน้าที่ หรือ ชอคโกแลตตามมารยาท) เช่น ชอคโกแลตที่มอบให้กับเพื่อนร่วมงาน หรือกับหัวหน้างานเป็นต้น

ผู้ชายส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอายอย่างมาก ถ้าพวกเขาไม่ได้รับชอคโกแลตในวันนี้ ผู้หญิงจึงพยายามมอบ giri-choco กับผู้ชายที่รู้จักทุกคน เพียงเพื่อไม่ให้ผู้ชายต้องมีความรู้สึกว่าตัวเขานั้นไม่ได้รับการใส่ใจ ราคาโดยเฉลี่ยของ giri-choco ตกประมาณอันละ 100 – 300 เยน

ผู้หญิงบางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะให้ของขวัญพิเศษกับคนที่ตนรัก เช่น เนคไทค์ และเสื้อผ้าควบคู่ไปกับชอคโกแลตด้วย ชอคโกแลตประเภทนี้จะเรียกว่า "honmei-choco." (แปลว่า ผู้ชนะที่คาดหวังไว้ prospective winner) Honmei-choco จะมีราคาที่แพงกว่า giri-choco และบางครั้งจะเป็นชอคโกแลตทำเอง ซึ่งผู้ชายที่ได้รับนั้นถือว่าโชคดีมาก

ชอคโกแลตญี่ห้อดังของญี่ปุ่นได้แก่ Glico, Meiji และ Morinaga แต่ผู้ชายบางคนมักจะพอใจกับชอคโกแลตทำเองมากกว่า เพราะมันจะแสดงออกถึงความตั้งใจของคนทำนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

พระคุณแม่

พระคุณแม่
คืออะไร ใครรู้บ้าง

คือ โคมทอง ส่องทาง สว่างไสว
คือ ผู้สร้าง ทางเดิน เจริญไกล
คือ อุ่นไอ ผ้าห่ม ต้านลมแรง
คือ ร่มไทร ไพศาล กั้นแดดฝน
คือ สายชล หล่อเลี้ยงให้ ไม่เหือดแห้ง
คือ มิตรแท้ ในเรือน ไม่เปลี่ยนแปลง
คือ กำแพง ปกป้อง ผองพาลภัย
คือ อาจารย์ คนแรก แจกความรู้
คือ แพทย์ผู้ ป้อนยา รักษาไข้
คือ ฐานรอง อารมณ์ คราตรมใจ
คือ คนใช้ ติดตาม ประจำนาน
คือ บันได ก้าวเดิน เผชิญโลก
คือ ผู้โบก ธงชัย เชียรให้ผ่าน
คือ นักร้อง กล่อมขวัญ บรรโลมนาน
คือ สะพาน เหนียวแน่น เชื่อมแผ่นดิน
คือ เนื้อนา บุญของ ผองลูกแน่
คือ รักแท้ จากใจ ไม่สร่างสิ้น
คือ ขุมคลัง เก็บให้ใช้ เป็นอาจิณ
คือ พรหมินทร์ สูงส่ง ดำรงธรรม
คือ ผู้ตาย แทนลูก ได้ทุกเมื่อ
คือ ก้อนเนื้อ นมสด รสหวานฉ่ำ
คือ รถ เรือ ลากจูง ผู้มุ่งนำ
พระคุณล้ำ เลิศแท้ โอ้ แม่ เอย

สำนึก"วันเกิด"

สำนึก “วันเกิด”
“งานวันเกิด ยิ่งใหญ่ ใครคนนั้น
ฉลองกัน ในกลุ่ม ผู้ลุ่มหลง
หลงลาภยศ สรรเสริญ เพลินทะนง
วันเกิดส่ง ชีพสั้น เร่งวันตาย
อีกมุมหนึ่ง ซึ่งเหงา น่าเศร้าแท้
หญิงแก่ๆ นั่งหงอย และคอยหา
โอ้...วันนั้น เป็นวัน อันตราย
แม่คลอดสาย โลหิต แทบปลิดชนม์
วันเกิดลูก เกือบคล้าย วันตายแม่
เจ็บท้องแท้ เท่าไหร่ มิได้บ่น
กว่าอุ้มท้อง กว่าจะคลอด รอดเป็นคน
เติบโตจน บัดนี้ นี่เพราะใคร
แม่จวนเจียน ขาดใจ ในวันนั้น
กลับเป็นวัน ลูกฉลอง กันผ่องใส
ได้ชีวิต แล้วก็หลง ระเริงใจ
ลืมผู้ให้ ชีวิต อนิจจา
ไฉนจึง เรียกกัน เป็น “วันเกิด”
วันผู้ให้ กำเนิด จะถูกกว่า
คำอวยพร ที่เขียน ควรเปลี่ยนมา
ให้มารดา คุณเป็นสุข จึงถูกแท้
เลิกจัดงาน วันเกิด เสียเถิดนะ
ควรที่จะ คุกเข่า กราบเท้าแม่
ระลึกถึง พระคุณ อบอุ่นแท้
อย่ามัวแต่ จัดงาน ประจานตัว











วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552



ตรุษจีนในประเทศไทย
ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่

วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู๋เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว
วันไหว้ คือ วันสิ้นปี จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือ
ตอนเช้ามืดจะไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อ คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว
ตอนบ่าย จะไหว้ ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล
วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี (ชิวอิก) วันนี้ ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ ไป๊เจีย คือ การไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "กา" ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำโชคดีไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น

บทความการศึกษาที่น่ารู้

การศึกษา คือการสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมที่จะ ประกอบการงานอาชีพได้ การศึกษาช่วยให้คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจำเป็น ด้านที่อยู่อาศัย อาหารเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เป็นปัจจัยที่จะช่วยแก้ปัญหาทุก ๆ ด้านของชีวิตและเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตในโลกที่มีกระแสความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเท คโนโลยีอย่าง รวดเร็ว และส่งผลกระทบให้วิถีดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันการศึกษายิ่งมีบทบาทและความจำเป็น มากขึ้นด้วย การศึกษาที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีความสุข จะต้องมีลักษณะ ที่สำคัญดังนี้
1. เป็นการศึกษาที่ให้ความรู้ และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เช่น ความรู้และทักษะทางด้านภาษา การคิดคำนวณ ความเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น สภาพปัจจุบันมีความจำเป็นต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการศึกษาขั้น พื้นฐานอย่างน้อย 12 ปี จึงจะเพียงพอกับความต้องการและความจำเป็นที่จะยกระดับ คุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
2. การศึกษาทำให้คนเป็นคนฉลาด เป็นคนมีเหตุผล คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น และ รู้จักวิธีแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และเพื่อการงานอาชีพ
3. การศึกษาต้องสร้างนิสัยที่ดีงาม ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยเฉพาะนิสัยรักการ เรียนรู้ และนิสัยอื่น ๆ เช่นความเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน อดทน รับผิดชอบ เป็นต้น
4. การศึกษาต้องสร้างความงอกงามทางร่างกาย มีสุขภาพพลามัยที่ดี รู้จัก รักษาตนให้แข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และสารพิษ
5. การศึกษาต้องทำให้ผู้เรียนไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนรวมให้ความร่วมมือกับผู้อื่นในสังคม อยู่รวมกับผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้างสังคมที่สงบเป็นสุข รักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน
6. การศึกษาต้องทำให้คนมีทักษะการงานอาชีพที่เพียงพอกับการเข้าสู่การงานอาชีพ รู้จักการประกอบอาชีพและรู้จักพัฒนาการงานอาชีพ
ทั้ง 6 ประการ เป็นพื้นฐานทางการศึกษาที่จำเป็น ที่คนจะต้องได้รับรู้อย่างทั่วถึงทุกคน ถ้าทุกคนได้รับอย่างครบถ้วน เพียงพอก็จะทำให้เกิดทักษะลักษณะและนิสัยที่พึงประสงค์ได้ การศึกษาจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพียงสำหรับคนบางคน แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ขาดความพร้อมในปัจจัยต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ ยิ่งมีความ จำเป็นมากที่สุด
คนที่ขาดความพร้อมต้องการการศึกษามาก มักเป็นกลุ่มคนที่ถูกลืมตลอดเวลา การศึกษาที่ได้รับก็มักเป็นบริการที่กระท่อนกระแท่น ไม่เพียงพอกับการเรียนรู้ที่เหมาะสม ไม่พอแม้เพียงเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ตรงข้ามกับผู้ที่มีความพร้อมพอจะช่วยตนเองได้ กลับได้รับบริการที่มีคุณภาพและปริมาณที่ดีกว่ามาก ดังจะเห็นได้จากสถานศึกษาในเมืองกับในชนบท ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ การศึกษานอกจาก จะไม่สามารถสร้างความพร้อมที่เพียงพอกับผู้ต้องการแล้ว ยังส่งเสริมให้ช่องว่างระหว่าง คนรวยกับคนจนแตกต่างกันมากขึ้นด้วย
เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์การศึกษาเสียใหม่ให้หันมาให้ความสำคัญกับคนยากจนคนเสียเปรียบ และคนด้อยโอกาสให้มากขึ้นทรัพยากรของรัฐต้องนำมาใช้จ่าย เพื่อปรับปรุงบริการการศึกษา สำหรับคนยากจนให้ดีขึ้นเป็นพิเศษ ให้เพียงพอกับการสร้างลักษณะสิสัยและความพร้อมที่จำเป็น ถ้าคนยากจน คนเสียเปรียบ คนด้อยโอกาสได้รับการศึกษาที่เหมาะสม และมีคุณภาพ แล้ว ปัญหาต่าง ๆ ในบ้านเมืองก็จะลดน้อยลงไปโดยปริยายและยังทำให้เขากลายเป็นกำลัง สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างดีด้วย
การศึกษานอกจากเป็นปัจจัยที่ 5 แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต และเป็นปัจจัยเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย เราจงฝากความหวังของชาติ ด้วยการพัฒนาการศึกษากันเถิด

16 มกราคม "วันครู"

16 มกราคม ของทุกปี เป็นวันที่ถูกบัญญัติไว้ เพื่อรำลึกและยกย่องวิชาชีพที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศชาติ อย่าง "วิชาชีพครู"

ซึ่งในวันนี้ วิชาชีพครู ถูกกำหนดไว้ในกฎหมายให้เป็น "วิชาชีพชั้นสูง" ตามพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ มีระบบ กระบวนการผลิต และการพัฒนาครู คณาจารย์ และ บุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง

"ให้มีสภาวิชาชีพเพื่อทำหน้าที่กำหนดมาตรฐาน ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ให้มีองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู ให้มีกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนครู ค่าตอบแทน สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของครู ให้มีการพัฒนาคณาจารย์ และให้ระดมทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่นเพื่อนำมาใช้ในการจัดการศึกษา"

เมื่อกำหนดไว้ในพ.ร.บ.เช่นนี้แล้ว ก็ย่อมจะต้องส่งผลให้ "ครู" พัฒนาและปรับตนเองให้สมกับความเป็น "วิชาชีพชั้นสูง" ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย คือ จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้สูง มีมาตรฐานในการปฏิบัติงานสูงขึ้น มีการติดตาม ศึกษา ค้นหาความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งความรู้ทางคณิตศาสตร์ ภาษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ คุณธรรม จริยธรรม เศรษฐศาสตร์ ดนตรี สุขภาพ อนามัย ฯลฯ ทั้งความรู้ที่เกิดขึ้นในและต่างประเทศ

แต่หลังจากที่ พ.ร.บ.ดังกล่าว มีผลบังคับใช้ ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน "วิชาชีพครู" พัฒนาตนเองจนกลายเป็น "วิชาชีพชั้นสูง" ได้แล้วหรือยัง เป็นคำถามที่ท้าทายคำตอบอยู่ไม่น้อย

ดร.ดิเรก พรสีมา ในฐานะประธานคณะกรรมการคุรุสภา หน่วยงานที่เสมือนเป็นสภาวิชาชีพ มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลเพื่อนครูทั้งในด้านคุณธรรม จริยธรรม จนไปถึงมาตรฐานวิชาชีพของครู เปิดเผยว่า "ถ้าพวกเรายอมรับความจริง คงต้องตอบตามตรงว่า กระบวนการการผลิตครู ยังไม่สามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพเพื่อเข้าสู่วิชาชีพได้"



ดร.ดิเรกกล่าวต่อว่า ปัญหาหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวป้อนเข้าของระบบการผลิตครู โดยเฉพาะนักเรียนที่จบ ม.6 และสมัครเข้าเรียนครู มีคุณภาพต่ำ นักเรียนชั้นเยี่ยมของประเทศที่จบ ม.6 แล้วสมัครเข้าเรียนครูมีจำนวนน้อยมาก หรืออาจไม่มีเลย ดังนั้น คุณภาพของนักเรียนครู จึงเป็นปัญหาสำคัญยิ่งของระบบการผลิตครู"

"อีกทั้งคุณภาพของคณาจารย์คณะครุศาสตร์ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพของบัณฑิตครุศาสตร์เช่นกัน เพราะมีเพียงคณาจารย์ของคณะครุศาสตร์ไม่กี่คนที่เคยเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาชั้นเยี่ยมของประเทศ"

อีกทั้งเมื่อเข้าสู่วิชาชีพครูแล้ว ก็ยังมีอุปสรรคตามมาอีกมาก โดย ดร.ดิเรก กล่าวด้วยว่า ยอมรับว่า หลังจากที่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ดังกล่าว และกำหนดให้ครูมีการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ ทำให้ทุกวันนี้ครูต้องทำงานหนัก ส่วนหนึ่งเพราะระบบบริหารงานบุคคล โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การประเมินเลื่อนวิทยฐานะของครูที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ทำให้ครูทำงานหนักแต่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนน้อยมาก เพราะเวลาที่ครูอยากเลื่อนวิทยฐานะ ทุกคนแม้แต่ผู้บริหารเองก็รู้ว่าครูต้องใช้เวลาที่จะสอนหนังสือไปทำผลงาน เพื่อให้มีตำรา เอกสาร หรือผลงานวิชาการ ประกอบการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ

แม้ว่าคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) พยายามแก้ไขปัญหานี้ แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง จึงทำให้ครูมีเวลาให้กับการเรียนการสอนของนักเรียนน้อยลงเรื่อยๆ นอกจากนั้นระบบการพัฒนาครู มีแต่พัฒนาแล้วเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อย

"ผมคิดว่าแนวทางที่น่าจะทำให้พัฒนาครูเกิดผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ควรเปลี่ยนมาใช้การอบรม พาครูไปดูงานการเรียนการสอนของครูดีเด่น ที่สอนเก่งๆ ว่าเขามีการเตรียมการสอน วิธีการสอนอย่างไร ซึ่งวิธีลักษณะแบบนี้ ครูดูแล้วจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าการที่เอาครูไปนั่งฟังคำบรรยายในห้องประชุม อย่างที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อครูไปดูงานมาแล้วก็ให้มีเวลาได้พิจารณาว่าจะนำความรู้ที่ได้ไปใช้อย่างไร ให้ไปทำแผนปฏิบัติการนำความรู้จากการอบรมไปใช้ รวมทั้งมีการติดตามผล ว่าเมื่อใช้แล้วเป็นอย่างไร หากได้ผลดีก็ควรมีการให้รางวัล หรือพิจารณาความดีความชอบ เงินเดือน ให้สอดคล้องกับงาน เพื่อเป็นกำลังใจให้กับครู โดยเฉพาะครูที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล"

ในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ดร.ดิเรก กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า "ปัญหาในการพัฒนาวิชาชีพครูที่สั่งสมมานานจนถึงขณะนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยกเครื่องการพัฒนาวิชาชีพครูครั้งใหญ่เพื่อให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเยาวชนที่จะเป็นอนาคตของประเทศนั้น โดยสิ่งสำคัญคือหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะ รมว.ศึกษาธิการ จะต้องลงมากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงแต่ปล่อยให้หน่วยงานระดับท้องถิ่น อย่างเขตพื้นที่กำกับดูแลกระบวนการผลิตครูเป็นความรับผิดชอบโดยอิสระของคณะครุศาสตร์เท่านั้น

ในขณะที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ ก็ประกาศชัดเจนเนื่องในโอกาสการจัดงานวันครู ว่า กระทรวงศึกษาธิการจะสร้างขวัญกำลังใจให้ครู อาจารย์ โดยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เรื่องแรกคือ การตั้งกองทุนพัฒนาคุณ ภาพชีวิตครู เพื่อดูแลช่วยเหลือลดภาระของครู รวมถึงปัญหาหนี้สินครูด้วย นอกจากนี้จะมีการสร้างหลักประกันเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูต้องการเป็นอันดับต้นๆ โดยที่ผ่านมาได้นำร่องไปแล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการทำประกันชีวิตให้กับครู มีเบี้ยประกัน 500,000 บาท และได้มอบหมายให้ ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ไปพิจารณาในการทำประกันชีวิตให้กับครูเพิ่มในกรณีอื่นๆ ต่อไป

"นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการจะสนับสนุนให้ครูได้ทำหน้าที่สอนเด็กอย่างเต็มที่ ไม่ต้องไปทำงานธุรการหรือภารกิจอื่น ด้วยโครงการคืนครูให้นักเรียน และการสร้างแรงจูงใจให้คนดี คนเก่งมาเป็นครู พร้อมทั้งสนับสนุนความก้าวหน้า สวัสดิการและวิทยฐานะของครู ด้วยการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะให้สอดคล้องกับคุณภาพการศึกษามากขึ้น แทนที่จะเน้นเรื่องการทำเอกสาร"

รมว.ศึกษาธิการ ยังกล่าวฝากไปยังเพื่อนครูทั่วประเทศด้วยว่า "สิ่งที่อยากเห็นและเชื่อว่าสังคมก็อยากเห็น คือ ครูเป็นครูมืออาชีพ มีอุดมการณ์ มีจิตวิญญาณความเป็นครู มีความเสียสละ และอุทิศตนเพื่อการศึกษา สอนศิษย์ให้มีความรู้ มีคุณธรรม และมีคุณภาพ"

เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายเดียวกันตามที่สังคมคาดหวังให้ "วิชาชีพครู" เป็นวิชาชีพชั้นสูง และเป็นกำลังสำคัญในการผลิตบุคลากรที่มีประสิทธิภาพต่อการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต